การโจมตีทางไซเบอร์และระบบโซล่าเซลล์เกี่ยวข้องกันอย่างไร?

Content Writer / SolarEdge Thailand
08-10-2025

เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ระบบโซล่าเซลล์ได้กลายเป็นส่วนสำคัญในการผลิตพลังงานสะอาดทั่วโลก ในปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบสื่อสารมาใช้งานกับระบบโซล่าเซลล์มากขึ้น ทั้งอินเวอร์เตอร์อัจฉะริยะ ระบบมอนิเตอริ่ง (Monitoring System) และระบบดิจิทัลต่างๆ เพื่อให้สามารถควบคุมและติดตามการทำงานของระบบได้แบบเรียลไทม์ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดต้นทุนการบำรุงรักษา แต่ในขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลนี้ได้เปิดโอกาสให้เกิดการโจมตีทางไซเบอร์ (Cyber Attack) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงาน ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน ข้อมูลส่วนบุคคล และความปลอดภัยด้านต่างๆ

กล่าวได้ว่า สถานที่ที่ติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงงาน อาคาร หรือบ้านพักอาศัย จึงมีความเสี่ยงต่อการโจมตีทางไซเบอร์มากขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ หลายคนอาจสงสัยว่าภัยคุกคามทางไซเบอร์เกี่ยวข้องกับระบบโซล่าเซลล์อย่างไร ระบบโซล่าเซลล์มีความเสี่ยงอะไรบ้าง และมีแนวทางป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์อย่างไร หาคำตอบได้ในบทความนี้จาก SolarEdge

ทำความเข้าใจการโจมตีทางไซเบอร์ (Cyber Attack)

การโจมตีทางไซเบอร์ คือ ความพยายามหรือการกระทำโดยเจตนาของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลในการละเมิด สร้างความเสียหาย หรือรบกวนระบบคอมพิวเตอร์ เครือข่าย หรืออุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ ซึ่งกลุ่ม “แฮกเกอร์” (Hacker) มักมีวัตถุประสงค์ที่เป็นอันตรายหรือเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เช่น โจรกรรมข้อมูล ฉ้อโกงทางการเงิน หรือการข่มขู่เหยื่อ ในปัจจุบันภัยคุกคามทางไซเบอร์มีวิวัฒนาการและมีความซับซ้อนมากขึ้น ผู้โจมตีมักใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI และระบบคลาวด์เพื่อยกระดับปริมาณการโจมตี โดยเริ่มใช้งานรูปแบบการโจมตีแบบวิศวกรรมสังคมที่ซับซ้อน และปรับแต่งเหยื่อล่อในการฟิชชิงและมัลแวร์สำหรับเป้าหมายแต่ละราย ทำให้มีอัตราความสำเร็จเพิ่มมากขึ้น[1]

ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีกี่ประเภท

การโจมตีทางไซเบอร์ในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ โดยแฮกเกอร์หรือผู้โจมตีมักจะเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมกับเป้าหมายและระบบที่ต้องการโจมตี โดยทั่วไปมี  6 รูปแบบการโจมตีทางไซเบอร์ที่พบได้บ่อยและควรระวัง ดังนี้

1. มัลแวร์ (Malware)

มัลแวร์ คือ ซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตราย (Malicious Software) ซึ่งออกแบบมาเพื่อเข้าถึงหรือสร้างความเสียหายให้กับระบบคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น ไวรัส (Virus), เวิร์ม (Worm), โทรจัน (Trojan) และแรนซัมแวร์ (Ransomware) โดยทั่วไป เป้าหมายของมัลแวร์ คือ การเข้าถึงเครือข่ายหรือระบบโดยอาจปิดระบบรักษาความปลอดภัย การมอบการเข้าถึงระยะไกลแก่แฮกเกอร์ (Remote Access) หรือติดตั้งเพย์โหลด (Payload) ที่เป็นอันตราย

2. ฟิชชิง (Phishing) 

ฟิชชิงเป็นการโจมตีที่ผู้โจมตีปลอมแปลงตัวตนเป็นหน่วยงานที่น่าเชื่อถือเพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดเผยข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่านบัญชีออนไลน์ หรือข้อมูลบัตรเครดิต การโจมตีแบบนี้มักจะทำผ่านอีเมล ข้อความ หรือเว็บไซต์ปลอมที่ดูเสมือนของจริง

3. โซเชียลเอ็นจิเนียริง (Social Engineering) 

Social Engineering เป็นการโจมตีที่อาศัยหลักจิตวิทยาและการหลอกลวง เพื่อให้เหยื่อทำการกระทำที่ผู้โจมตีต้องการ เช่น โน้มน้าวให้เหยื่อเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล คลิกลิงก์ที่แอบแฝงมัลแวร์ หรือดาวน์โหลดไฟล์ที่ติดมัลแวร์ โดยมุ่งเน้นไปที่การใช้ประโยชน์จากความไว้เนื้อเชื่อใจของมนุษย์ ความกดดัน ความกลัว และการสร้างสถานการณ์ต่างๆ

4. การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle (MitM) 

การโจมตีที่ในลักษณะที่ แฮกเกอร์จะเข้าสกัดกั้นการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ปลายทางผู้ใช้งานและเซิร์ฟเวอร์ของระบบ โดยที่ทั้งสองฝ่ายไม่รู้ตัว แล้วจึงขโมยข้อมูล ปลอมแปลงข้อความ สร้างข้อมูลเท็จ หรือขัดขวางการสื่อสาร

5. การโจมตีแบบ Denial-of-Service (DoS) 

DoS เป็นการโจมตีที่มุ่งทำให้บริการหยุดชะงักและไม่สามารถใช้งานได้ โดยการส่ง “คำขอ” (Request) จำนวนมากไปยังเซิร์ฟเวอร์หรือเครือข่ายจนมีปริมาณการใช้งานอย่างท่วมท้นผิดปกติ ผู้ใช้งานจึงอาจไม่สามารถใช้งานฟีเจอร์หรือฟังก์ชันบางประการได้ หรืออาจทำให้ระบบหยุดทำงาน

6. ภัยคุกคามจากภายใน (Insider Threat) 

เป็นความเสี่ยงที่เกิดจากบุคคลภายในองค์กร เช่น พนักงาน ผู้รับข้าง หรือพันธมิตรทางธุรกิจที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลหรือระบบสำคัญและใช้สิทธิ์นั้นๆ เพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยข้อมูลความลับสู่สาธารณะ ฉ้อโกง หรือยักยอกทรัพย์สิน นอกจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่พบได้บ่อยข้างต้นแล้ว ยังมีการโจมตีทางไซเบอร์ในรูปแบบของการคาดเดารหัสผ่าน (Brute Force Attack), การแทรกโค้ด SQL, การโจมตี Zero-Day Attack และอีกมากมาย เป็นเหตุให้ผู้ใช้งานและธุรกิจต้องมีมาตรการหรือระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุม[2] [3]

ระบบโซล่าเซลล์ที่เปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น อุปกรณ์ระบบโซล่าเซลล์ในปัจจุบันได้เปลี่ยนการทำงานจากรูปแบบอนาล็อกหรือการควบคุมด้วยมือให้เป็นระบบดิจิทัลที่ทำงานอัตโนมัติ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การเฝ้าสังเกตระบบ และลดต้นทุนการบำรุงรักษา[4]  ทั้งนี้ การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลนี้เกิดขึ้นในหลายมิติ เช่น

  • อินเวอร์เตอร์ (Inverters)

อินเวอร์เตอร์ถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบโซล่าเซลล์สมัยใหม่ ที่ไม่เพียงแค่ทำหน้าที่แปลงฟฟ้ากระแสตรง (DC) จากแผงโซล่าเซลล์ให้เป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ที่ใช้ในอาคารบ้านเรือน แต่ยังมีความสามารถในการสื่อสาร ควบคุม และตรวจสอบการทำงานของระบบโดยรวมได้ด้วย อินเวอร์เตอร์อัจฉริยะเหล่านี้สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบสถานะการทำงาน การผลิตพลังงาน และปัญหาต่างๆ ได้จากระยะไกล นอกจากนี้ยังสามารถปรับการทำงานให้เหมาะสมกับสภาวะและความต้องการใช้พลังงานในแต่ละช่วงเวลา

  • ระบบมอนิตอริ่ง (Monitoring System)

ระบบมอนิตอริ่งที่เชื่อมต่อกับอินเวอร์เตอร์ช่วยให้เจ้าของระบบโซล่าเซลล์สามารถติดตามการทำงานได้แบบเรียลไทม์ ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนหรือเว็บไซต์ ระบบนี้จะแสดงข้อมูลต่างๆ เช่น ปริมาณพลังงานที่ผลิตได้ สถานะการทำงานของแต่ละโมดูล และการใช้พลังงานในอาคาร ซึ่งการมีระบบมอนิตอริ่งที่ดีจะช่วยให้สามารถตรวจพบปัญหาหรือความผิดปกติของระบบได้อย่างรวดเร็ว และสามารถดำเนินการแก้ไขได้ทันท่วงที ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบต่อการผลิตพลังงานและรายได้

  • การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ (Predictive Maintenance)

เทคโนโลยีการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์อาศัยข้อมูลจากเซนเซอร์ต่างๆ ระบบมอนิตอริ่ง รวมถึงอัลกอริทึม Machine Learning เพื่อทำคาดเดาปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับระบบโซล่าเซลล์ก่อนที่จะเกิดความเสียหายจริง ระบบนี้จะช่วยลดต้นทุนการบำรุงรักษา ยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ในระบบโซล่าเซลล์ พร้อมช่วยรักษาประสิทธิภาพการผลิตพลังงานให้อยู่ในระดับสูงสุดอยู่เสมอ

ระบบโซล่าเซลล์เสี่ยงต่อการโจมตีทางไซเบอร์อย่างไร?

มาถึงคำถามสำคัญที่ว่า “ระบบโซล่าเซลล์เสี่ยงต่อการโจมตีทางไซเบอร์อย่างไร” เนื่องด้วยลักษณะการทำงานที่อุปกรณ์ต่างๆ ทั้งอินเวอร์เตอร์ ระบบมอนิตอริ่ง และอื่นๆ เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลา จึงเปิดโอกาสให้เกิดช่องโหว่ (Vulnerability) ที่อาจถูกใช้ในการโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้เกิดขึ้นจากหลายจุดในระบบ[5] [6] ได้แก่

Inverter Firmware

ในบางครั้ง เฟิร์มแวร์ (Firmware) ในอินเวอร์เตอร์อาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่อาจถูกใช้ประโยชน์โดยแฮกเกอร์ หากขาดการอัปเดตเฟิร์มแวร์อย่างสม่ำเสมอ แม้ผู้ผลิตจะปล่อยแพทช์อัปเดต (Update Patch) เพื่อแก้ไขช่องโหว่เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง แต่หากผู้ใช้งานละเลยการอัปเดต ช่องโหว่ในเฟิร์มแวร์ของอินเวอร์เตอร์ก็จะยังคงอยู่และผู้ไม่หวังดีอาจเจาะเข้าสู่ระบบได้ในที่สุด

Remote Access & Communication Networks

ระบบมอนิเตอริ่งและควบคุม เช่น ระบบ SCADA ที่ใช้ในการจัดการระบบโซล่าเซลล์เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ อาจมีช่องโหว่ในระบบความปลอดภัย หากมีการตั้งค่าไม่ถูกต้อง การเลือกใช้รหัสผ่านที่คาดเดาง่ายจนเกินไป หรือไม่มีการเข้ารหัสข้อมูลที่เหมาะสม ผู้โจมตีอาจสามารถเข้าถึงและควบคุมระบบได้  นอกจากนี้ หากระบบมอนิเตอริ่งเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตบนเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย ก็อาจเป็นอีกหนึ่งช่องทางให้ผู้โจมตีสามารถเจาะเข้าถึงระบบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่มีการใช้ VPN หรือการเข้ารหัสที่เหมาะสม

User Application

แอปพลิเคชันของผู้ใช้งาน (User Application) ที่ใช้สำหรับตรวจสอบการทำงานของระบบโซล่าเซลล์บนสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์อาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย หากแอปพลิเคชันเหล่านี้ไม่ได้รับการอัปเดตเพื่อแก้ไขช่องโหว่ต่างๆ ที่ค้นพบ แฮกเกอร์อาจสามารถใช้ประโยชน์เพื่อเข้าถึงข้อมูลหรือควบคุมระบบโซล่าเซลล์ ด้วยการเดารหัสผ่าน ฝังมัลแวร์ลงในระบบ หรือโจมตีแบบ DOS

แนวทางการป้องกันระบบโซล่าเซลล์จากการโจมตีทางไซเบอร์

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ในระบบโซล่าเซลล์เป็นความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างผู้ผลิตอุปกรณ์ บริษัทติดตั้งโซล่าเซลล์ และเจ้าของระบบ การนำมาตรการป้องกันที่เหมาะสมมาปรับใช้อย่างถูกต้องสามารถช่วยลดความเสี่ยงและปกป้องระบบจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ต่างๆ โดยมีแนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ในระบบโซล่าเซลล์ ดังนี้

1. ใช้วิธีการยืนยันตัวตนที่รัดกุม

การใช้การยืนยันตัวตนที่รัดกุมเป็นขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดในการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ ผู้ใช้งานควรเปลี่ยนรหัสผ่านเริ่มต้น (Default Password) ของบัญชีแพลตฟอร์มมอริตอริ่งทันทีหลังจากติดตั้งเสร็จสิ้น และตั้งรหัสผ่านที่มีความซับซ้อน ประกอบด้วยตัวอักษรพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่ ตัวเลข และอักขระพิเศษ เพื่อป้องกันการเดารหัสผ่าน (Brute Force Attack) การใช้การยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน (Two-Factor Authentication) จะช่วยเพิ่มระดับความปลอดภัยให้กับระบบมากขึ้น แม้ว่าผู้โจมตีจะสามารถขโมยรหัสผ่านได้ แต่ก็ยังต้องผ่านการยืนยันขั้นที่สองอีกครั้ง ซึ่งอาจเป็นรหัส OTP ที่ส่งมาทางข้อความมือถือ หรือแอปพลิเคชันยืนยันตัวตนของเจ้าของระบบ จึงสามารถป้องกันการเข้าถึงข้อมูลได้ นอกจากนี้ ควรเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีผู้ที่มีสิทธิ์เข้าถึงระบบหลายคน  (เช่น คนในครอบครัว หรือพนักงานบริษัท) และไม่ควรใช้รหัสผ่านเดียวกันกับบัญชีอื่นๆ เพื่อป้องกัน Insider Threat หรือในกรณีที่หลงเชื่ออีเมลฟิชชิง (Phishing) ซึ่งอาจนำไปสู่การเปิดเผยข้อมูลโดยไม่รู้ตัว

2. อัปเดตซอฟต์แวร์สม่ำเสมอ

อีกหนึ่งแนวการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ที่สำคัญ คือ การอัปเดตซอฟต์แวร์และเฟิร์มแวร์ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ โดยทั่วไป ผู้ผลิตอุปกรณ์จะปล่อยแพทช์อัปเดต เพื่อแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง เจ้าของระบบโซล่าเซลล์ควรตรวจสอบและติดตั้งการอัปเดตเฟิร์มแวร์สำหรับอินเวอร์เตอร์ ระบบมอนิเตอริ่ง และอุปกรณ์อื่นๆ ในระบบอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงแอปพลิเคชันที่ใช้สำหรับตรวจสอบระบบบนสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ว่าเป็นเวอร์ชันล่าสุดแล้วหรือไม่ โดยแนะนำให้เปิดใช้งานการอัปเดตอัตโนมัติจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าระบบจะได้รับการปรับปรุงล่าสุดเสมอ

3. ตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึง

การมอบสิทธิ์การเข้าถึงระบบให้กับบุคคลอื่นๆ เช่น คนในบ้าน ทีมงานบริษัทติดตั้งโซล่าเซลล์ หรือคนอื่นๆ ล้วนก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ระบบจะถูกผู้ไม่หวังดีเข้าควบคุม ดังนั้นจึงควรจำกัดการเข้าถึงระบบควบคุมต่างๆ ให้เฉพาะบุคคลที่จำเป็นและได้รับอนุญาตเท่านั้น พร้อมตรวจสอบและทบทวนสิทธิ์การเข้าถึงระบบหรือแพลตฟอร์มเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงบุคลากรหรือหน้าที่ความรับผิดชอบ และควรยกเลิกสิทธิ์ของบุคคลที่ไม่ได้ใช้งานระบบแล้ว 

4. ตรวจสอบมาตรการป้องกันจากผู้ผลิต

เมื่อเลือกอุปกรณ์สำหรับระบบโซล่าเซลล์ ควรสอบถามกับผู้ผลิตหรือบริษัทติดตั้งโซล่าเซลล์เกี่ยวกับมาตรการและระบบรักษาความปลอดภัยที่มี ทั้งนโยบายและกระบวนการด้านความปลอดภัยที่ชัดเจน เช่น การอัปเดตเฟิร์มแวร์แบบ Over-the-Air  การป้องกันในระดับอุปกรณ์ หรือการทดสอบการเจาะระบบเป็นระยะๆ และมีทีมงานที่ดูแลเรื่องความปลอดภัยคอยให้บริการ นอกจากนี้ ควรตรวจสอบว่าผู้ผลิตมีนโยบายการเปิดเผยช่องโหว่ (Vulnerability Disclosure Policy) และมีกระบวนการตอบสนองต่อเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย (Incident Response) ที่มีประสิทธิภาพหรือไม่

5. ตรวจสอบมาตรการป้องกันข้อมูล (Data Protection)

การป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความละเอียดอ่อนเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญในการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ โดยเฉพาะฟิชชิง (Phishing) และแรนซัมแวร์ (Ransomware) ที่มักมีเป้าหมายเพื่อโจรกรรมข้อมูล เนื่องจากระบบโซล่าเซลล์มีข้อมูลการใช้พลังงานจะเผยให้เห็นพฤติกรรมและรูปแบบการใช้ชีวิตของเจ้าของบ้าน ซึ่งถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ต้องได้รับการคุ้มครอง ดังนั้น เจ้าของไซต์ควรตรวจเช็กให้มั่นใจว่า การทำงานของอุปกรณ์ในระบบโซล่าเซลล์เป็นไปตามการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น GDPR หรือ PDPA ในประเทศไทย โดยควรมีมาตรการในการเข้ารหัส จัดเก็บ และการรับ-ส่งข้อมูลที่ปลอดภัย นอกจากนี้ยังควรคำนึงถึงระบบสำรองข้อมูล และการทดสอบเจาะระบบเป็นระยะๆ อีกด้วย

จะเห็นได้ว่าการโจมตีทางไซเบอร์ในระบบโซล่าเซลล์ในปัจจุบันเป็นประเด็นสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม แม้การที่ระบบพลังงานหมุนเวียนมีการพัฒนาไปสู่ความเป็นดิจิทัลมากขึ้นนั้นจะนำมาซึ่งประโยชน์มากมาย แต่ก็เปิดโอกาสให้เกิดภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานและข้อมูลส่วนบุคคลได้  การตระหนักถึงความเสี่ยงและการนำมาตรการป้องกันที่เหมาะสมมาใช้งานจะช่วยให้ระบบโซล่าเซลล์สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ส่วนเจ้าของระบบเองก็จะสามารถมั่นใจถึงความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว ซึ่งบริษัทติดตั้งโซล่าเซลล์ และผู้ผลิตอุปกรณ์ต่างมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์เหล่านี้

โดย SolarEdge ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยด้านไซเบอร์ จึงออกแบบระบบความปลอดภัยแบบหลายชั้นที่ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการติดตั้ง ทั้งความปลอดภัยในระดับอุปกรณ์ มาตรการปกป้องข้อมูลทันสมัย การป้องกันเครือข่าย ไปจนถึงการตรวจและควบคุมระบบเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยต่างๆ รวมถึงมีกระบวนการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความอุ่นใจในการผลิตและใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างยั่งยืน

เกี่ยวกับ SolarEdge Technologies

SolarEdge Technologies เป็นผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน โดยใช้วิศวกรรมและนวัตกรรมระดับโลกในการพัฒนาโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับกลุ่มลูกค้าในภาคที่อยู่อาศัย ภาคพาณิชย์ และภาคสาธารณูปโภค SolarEdge นำเสนอโซลูชันที่ปรับให้เหมาะสมสำหรับการผลิต การจัดเก็บ การจัดการ และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทพัฒนาและผลิตอินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์ Power Optimizer ระบบจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน ระบบจัดเก็บพลังงาน และบริการโครงข่ายไฟฟ้า   

เทคโนโลยี DC-Optimized ของ SolarEdge ถูกติดตั้งในบ้านหลายล้านหลังในกว่า 140 ประเทศ และมากกว่า 50% ของบริษัท Fortune 100 มีการใช้งานเทคโนโลยีของ SolarEdge บนหลังคาของพวกเขา SolarEdge มีบทบาทสำคัญในการเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่โครงข่ายพลังงานแบบกระจายที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ   

นอกจากนี้ บริษัทยังมีบริการหลังการขายที่ครอบคลุม เพื่อตอบสนองความต้องการของทั้งเจ้าของบ้านและภาคธุรกิจ และเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ให้การรับประกันที่ยาวนานที่สุดในตลาดอีกด้วย  

ติดต่อเรา 

กรอกแบบฟอร์ม คลิก 
LINE Official: SolarEdge Thailand  

ติดตามข่าวสารใหม่ๆ จาก SolarEdge 

Facebook: SolarEdge Technologies Inc. 
Instagram: @solaredgepv 
X: @SolarEdgePV  
LinkedIn: SolarEdge Technologies

บทความที่เกี่ยวข้อง