ระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม มีองค์ประกอบอะไรบ้างที่ควรรู้

Content Writer / SolarEdge Thailand
13-01-2025
ระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม มีองค์ประกอบอะไรบ้างที่ควรรู้

ระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม ถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านต่างๆ ภายในโรงงาน ทั้งการจ่ายไฟให้กับเครื่องจักร ระบบไฟส่องสว่าง หรือระบบทำความเย็น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าระบบไฟฟ้าในโรงงานที่มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพสูงนั้นมีส่วนช่วยในการเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันด้านธุรกิจ ด้วยเหตุนี้ผู้ประกอบการจึงควรให้ความสำคัญในการออกแบบและติดตั้งระบบไฟฟ้าโรงงานไปจนถึงการบำรุงรักษาอย่างเหมาะสม

ความสำคัญของระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม

ระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม คือ โครงสร้างพื้นฐานสำหรับการจัดการและควบคุมการจ่ายไฟฟ้าให้กับเครื่องจักร อุปกรณ์ และระบบต่างๆ ภายในโรงงาน ซึ่งมีความสำคัญต่อการดำเนินงานในโรงงานหลายด้าน อาทิ 

  • ด้านการผลิต - ระบบไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพจะช่วยให้กระบวนการผลิตดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ลด Downtime ที่เกิดการไฟฟ้าดับหรือแรงดันไฟฟ้าไม่คงที่ ซึ่งอาจส่งผลให้การผลิตสินค้าเสียหาย หรือต้องหยุดสายการผลิตเป็นเวลานานเพื่อซ่อมบำรุง
  • ด้านความปลอดภัย - ระบบไฟฟ้าที่ได้มาตรฐานช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรหรือไฟไหม้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สิน
  • ด้านต้นทุน - การติดตั้งระบบไฟฟ้าหรือระบบผลิตพลังงานที่มีประสิทธิภาพ เช่น ระบบโซล่าเซลล์ จะช่วยลดการใช้พลังงาน ทำให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้อย่างเหมาะสม รวมถึงลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงที่อาจเกิดจากความเสียหายของอุปกรณ์

ประเภทระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม

โดยทั่วไปการติดตั้งระบบไฟฟ้าโรงงานจะเป็นแบบ 3 เฟส เนื่องจากโรงงานมักมีความต้องการใช้พลังงานสูงตลอดวัน และต้องรองรับเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ต้องการกำลังไฟฟ้ามาก โดยในประเทศไทยมีระบบไฟฟ้าที่ใช้งานอยู่ 2 รูปแบบหลักสำหรับระบบ 3 เฟส ดังนี้

1. ระบบไฟ 3 เฟส 4 สาย 380/220V

ระบบไฟฟ้าที่พบได้ทั่วไปในประเทศไทย ซึ่งเหมาะสำหรับโรงงานที่มีเครื่องจักรขนาดใหญ่ โดยจะประกอบไปด้วยสายไฟ 4 เส้น คือ สายเฟส (Phase) จำนวน 3 สาย ได้แก่ L1, L2, L3 และสายกลาง (Neutral) 1 สาย ที่มีแรงดันไฟฟ้าต่างเฟสกัน 120 องศา และมีแรงดันระหว่างสายไฟแต่ละคู่เท่ากับ 380V ในส่วนของแรงดันไฟฟ้ามีรายละเอียด ได้แก่ แรงดันระหว่างสายเฟสกับสายกลาง (L-N) = 220V (สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป) แรงดันระหว่างสายเฟสกับสายเฟส (L-L) = 380V (สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ไฟฟ้า 3 เฟส เช่น มอเตอร์)

ข้อดี

  • สามารถรองรับทั้งอุปกรณ์ที่ใช้ไฟ 3 เฟส 380V และอุปกรณ์ที่ใช้ไฟเฟสเดียว 220V
  • ความยืดหยุ่นสูง ใช้ได้ทั้งสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าระดับครัวเรือนและอุตสาหกรรม
  • เหมาะสำหรับโรงงานที่มีทั้งเครื่องจักรขนาดใหญ่และอุปกรณ์สำนักงานทั่วไป

ข้อเสีย

  • ต้องการความสมดุลระหว่างเฟสในการออกแบบและการจัดการโหลดมากกว่าระบบ 3 เฟส 380V 
  • อาจมีต้นทุนการติดตั้งที่สูงกว่า เพราะต้องใช้สายไฟมากขึ้น

2. ระบบไฟ 3 เฟส 3 สาย 380V

สามารถพบได้ในภาคอุตสาหกรรมหรือกรณีที่ไม่ต้องการใช้สาย Neutral โดยมีสายไฟ 3 เส้น ประกอบด้วย สายเฟส (Phase) จำนวน 3 สาย ได้แก่ L1, L2, L3  ไม่มีสาย Neutral และมีแรงดันระหว่างสายเฟสกับสายเฟส (L-L) = 380V จึงเหมาะสำหรับโรงงานที่มีเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ออกแบบมาให้ทำงานกับไฟฟ้า 3 เฟสเท่านั้น เช่น มอเตอร์ 3 เฟส

ข้อดี

  • สามารถจ่ายกำลังไฟฟ้าได้สูง 
  • ช่วยลดการสูญเสียพลังงานในสายส่ง 
  • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า 

ข้อเสีย

  • ไม่สามารถใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไปที่ต้องการแรงดัน 220V ได้โดยตรง
  • อาจต้องติดตั้งหม้อแปลงเพิ่มเติมสำหรับใช้งานอุปกรณ์ทั่วไปภายในโรงงาน

ทั้งระบบ 3 เฟส 3 สาย (380V) และ 3 เฟส 4 สาย (380/220V) มีใช้งานในประเทศไทยด้วยกันทั้งสองรูปแบบ โดยระบบ 3 เฟส 4 สาย จะเป็นที่นิยมมากกว่า ด้วยความสามารถในการรองรับการใช้งานไฟฟ้าครัวเรือน (220V) ควบคู่กับอุปกรณ์อุตสาหกรรม (380V) ในขณะที่ระบบ 3 เฟส 3 สาย ใช้งานเฉพาะในงานอุตสาหกรรมที่ไม่ต้องการสาย Neutral ซึ่งในการตัดสินใจเลือกใช้งานก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของโหลดไฟฟ้าและการออกแบบระบบในโรงงานหรือพื้นที่นั้นๆ

องค์ประกอบในระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม

ระบบไฟฟ้าในโรงงานประกอบด้วยองค์ประกอบหลายส่วนที่ทำงานร่วมกัน อีกทั้งยังเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีความซับซ้อนและมีความสำคัญ ดังนั้น มาดูกันว่ามีองค์ประกอบหลักอะไรบ้าง

  • หม้อแปลงไฟฟ้า

หม้อแปลงไฟฟ้า ถือเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญระหว่างการไฟฟ้าและระบบไฟฟ้าในโรงงาน เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แปลงแรงดันไฟฟ้าที่จ่ายจากระบบการไฟฟ้าให้มีแรงดันอยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการใช้งานภายในโรงงาน เช่น 380/220V โดยต้องเลือกขนาดให้เหมาะสมกับโหลดการใช้งานและมีการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ

  • แผงสวิตช์ไฟฟ้าแรงดันต่ำ

โดยทั่วไปแผงสวิตช์ไฟฟ้าหรือ “ตู้จ่ายไฟ” มีหน้าที่ในการควบคุมและจ่ายไฟไปยังส่วนต่างๆ ของโรงงาน ซึ่งในตัวแผงสวิตช์นั้นมีองค์ประกอบย่อยอีกมากมาย เช่น เซอร์กิตเบรกเกอร์ อุปกรณ์ป้องกันไฟรั่ว และมิเตอร์วัดค่าทางไฟฟ้าต่างๆ 

  • ระบบสายไฟและท่อร้อยสาย

สายไฟและท่อร้อยสาย เป็นเส้นทางในการส่งจ่ายกำลังไฟฟ้าไปยังจุดใช้งานต่างๆ โดยการเลือกใช้งานต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ อย่างขนาดสายไฟที่เหมาะสมกับกระแสใช้งาน ชนิดของฉนวนที่เหมาะกับสภาพแวดล้อม และวิธีการป้องกันความเสียหายต่อสายไฟ เป็นต้น

  • ระบบกราวด์ (Grounding System)

ระบบกราวด์หรือระบบสายดินเป็นส่วนสำคัญในการรักษาความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าในโรงงาน โดยมีหน้าที่หลักคือการนำกระแสไฟฟ้าที่รั่วไหลลงสู่ดิน เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูด ช่วยลดสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้าที่อาจส่งผลต่อการทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และช่วยให้อุปกรณ์ป้องกันกระแสเกินทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • อุปกรณ์ป้องกันไฟกระชาก (Surge Protection Devices)

เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่มีความสำคัญต่อการปกป้องระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ในโรงงานอุตสาหกรรม จากอาการไฟกระชากหรือแรงดันไฟเกิน ไม่ว่าจะเป็นเพราะฟ้าผ่า หรือการสวิตช์โหลดขนาดใหญ่ในระบบ ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ไฟฟ้าในระบบ

  • ระบบควบคุมและมอนิเตอร์

ในการดูแลรักษาระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม จำเป็นต้องมีการควบคุมและมอนิเตอร์ ซึ่งอาจทำผ่านห้องควบคุม ระบบ SCADA สำหรับควบคุมและเฝ้าติดตามการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ อุปกรณ์ตรวจวัดคุณภาพไฟฟ้า หรือซอฟต์แวร์สำหรับวิเคราะห์และรายงานผลการใช้พลังงาน

สิ่งสำคัญควรคำนึง ก่อนติดตั้งระบบไฟฟ้าโรงงาน

การติดตั้งระบบไฟฟ้าโรงงานนับเป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อน จึงจำเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการติดตั้ง เนื่องจากมีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการผลิต ความปลอดภัย และต้นทุนการดำเนินงาน ดังนั้นธุรกิจจึงควรพิจารณาปัจจัยสำคัญต่างๆ ร่วมด้วย ดังนี้

1. ความต้องการใช้ไฟฟ้า

อันดับแรกต้องคำนึงถึงความต้องการใช้ไฟฟ้าของโรงงานทั้งในปัจจุบันและในอนาคต โดยคำนวณโหลดไฟฟ้าอย่างแม่นยำ เพื่อเลือกขนาดสายไฟ อุปกรณ์ป้องกัน และหม้อแปลงที่เหมาะสม นอกจากนี้ การจัดวางตำแหน่งของแผงควบคุมไฟฟ้าและเส้นทางเดินสายไฟควรพิจารณาถึงความสะดวกในการบำรุงรักษาและการขยายระบบในอนาคตอีกด้วย

2. ประสิทธิภาพของระบบ

ระบบไฟฟ้าต้องได้รับการออกแบบให้มีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถรองรับการทำงานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ และมีความเสถียรในการจ่ายไฟ เพื่อให้กระบวนการผลิตดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง

3. ความปลอดภัยในการใช้งาน

ความปลอดภัยเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญสูงสุดในการติดตั้งระบบไฟฟ้าโรงงาน โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้กำหนดให้แต่ละโรงงานต้องตรวจสอบระบบไฟฟ้าเป็นประจำทุกปี เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการความปลอดภัย ทั้งนี้เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สิน

ระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม มีองค์ประกอบอะไรบ้างที่ควรรู้

การประหยัดพลังงานในโรงงาน

แม้ประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานของระบบไฟฟ้าในโรงงานจะเป็นเรื่องสำคัญ อย่างไรก็ตาม การประหยัดพลังงานในโรงงานก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเช่นกัน เพราะนอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวแล้ว ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจได้อีกด้วย ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น

  • การติดตั้งอุปกรณ์หรือระบบลดความร้อน - อย่างฉนวนกันความร้อนที่หลังคาและผนังโรงงานเพื่อป้องกันความร้อนจากภายนอก ระบบคูลลิ่งทาวเวอร์ (Cooling Tower) เพื่อช่วยระบายความร้อนจากเครื่องจักรและอุปกรณ์ และจัดระบบระบายอากาศเพื่อควบคุมอุณหภูมิภายในโรงงาน
  • การเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน - เลือกอุปกรณ์ที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ใช้หลอดไฟ LED แทนหลอดฟลูออเรสเซนต์แบบเดิม เป็นต้น
  • การบำรุงรักษาเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ - ทำความสะอาดอุปกรณ์และเครื่องจักรเป็นประจำ ตรวจสอบและซ่อมบำรุงตามระยะเวลาที่กำหนด แก้ไขปัญหาความผิดปกติของอุปกรณ์ทันทีที่ตรวจพบ
  • การติดตั้งโซล่าร์โรงงาน - เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยประหยัดพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยระบบโซล่าเซลล์และแบตเตอรี่โซล่าเซลล์ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากการไฟฟ้า ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ทั้งในแง่ของการประหยัดต้นทุน การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร 
ระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม มีองค์ประกอบอะไรบ้างที่ควรรู้

ติดตั้งโซล่าร์โรงงาน เลือกผลิตภัณฑ์จาก SolarEdge

SolarEdge Technologies เป็นผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน โดยใช้วิศวกรรมและนวัตกรรมระดับโลกในการพัฒนาโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับกลุ่มลูกค้าในภาคที่อยู่อาศัย ภาคพาณิชย์ และภาคสาธารณูปโภค SolarEdge นำเสนอโซลูชันที่ปรับให้เหมาะสมสำหรับการผลิต การจัดเก็บ การจัดการ และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทพัฒนาและผลิตอินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์ Power Optimizer ระบบจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน ระบบจัดเก็บพลังงาน และบริการโครงข่ายไฟฟ้า

เทคโนโลยี DC-Optimized ของ SolarEdge ถูกติดตั้งในบ้านหลายล้านหลังในกว่า 140 ประเทศ และมากกว่า 50% ของบริษัท Fortune 100 มีการใช้งานเทคโนโลยีของ SolarEdge บนหลังคาของพวกเขา SolarEdge มีบทบาทสำคัญในการเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่โครงข่ายพลังงานแบบกระจายที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ บริษัทยังมีบริการหลังการขายที่ครอบคลุม เพื่อตอบสนองความต้องการของทั้งเจ้าของบ้านและภาคธุรกิจ และเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ให้การรับประกันที่ยาวนานที่สุดในตลาดอีกด้วย

 

ติดต่อเรา

กรอกแบบฟอร์ม คลิก

LINE Official: SolarEdge Thailand

ติดตามข่าวสารใหม่ๆ จาก SolarEdge

Facebook: SolarEdge Technologies Inc.

Instagram: @solaredgepv

X: @SolarEdgePV 

LinkedIn: SolarEdge Technologies

 

บทความที่เกี่ยวข้อง