โซล่าร์ 2.0: ซอฟต์แวร์อัจฉริยะปูทางสู่การปฏิวัติพลังงานแสงอาทิตย์ยุคใหม่

Anna Ben-David
Content Writer / Anna Ben-David
05-11-2023

ในอดีต ระบบพลังงานแสงอาทิตย์มีฟังก์ชั่นการทำงานที่จำกัด แผงโซลาร์เซลล์ทำหน้าที่แปลงแสงอาทิตย์เป็นกระแสไฟฟ้าตรง (DC) จากนั้นโซล่าร์อินเวอร์เตอร์จะทำหน้าที่แปลงกระแสไฟฟ้าตรงนี้เป็นกระแสไฟฟ้าสลับ (AC) เพื่อใช้ในบ้านของเรา และควบคุมการจ่ายไฟเข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้า เครื่องแปลงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เหล่านี้ ถูกจำกัดให้ทำงานเฉพาะหน้าที่เหล่านี้เท่านั้นสำหรับระบบโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งอยู่ โดยไม่มีความสามารถเพิ่มเติมอื่นใด

ในช่วงสิบห้าปีที่ผ่านมา สิ่งต่าง ๆ ได้เปลี่ยนแปลงไป  เหมือนกับสมาร์ทโฟนที่กลายเป็นอุปกรณ์หลักในการจัดการชีวิตประจำวันของเรา เช่นเดียวกัน โซล่าร์อินเวอร์เตอร์ในยุคปัจจุบันมีการผสานการสื่อสารที่ซับซ้อนมากขึ้นและความสามารถในการควบคุม  ขยายบทบาทไปสู่การเป็นผู้จัดการพลังงานอัจฉริยะภายในบ้าน ความสามารถนี้ไม่เพียงแค่แปลงพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการจัดการอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ เช่น เครื่องทำน้ำอุ่นหรือรถยนต์ไฟฟ้า หรือรองรับการใช้แบตเตอรี่พลังงานแสงอาทิตย์ และส่งออกพลังงานไปยังโรงไฟฟ้าเสมือน (Virtual Power Plants) และระบบไมโครกริด (Microgrids) ควบคู่กับการจัดการการใช้พลังงานภายในบ้านอย่างอัตโนมัติ  ด้วยฟังก์ชั่นการทำงานที่เพิ่มขึ้นนี้ เราเริ่มเข้าใจศักยภาพที่แท้จริงของเครื่องแปลงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในฐานะ “สมอง” ของระบบพลังงานแสงอาทิตย์

SolarEdge Mobile

ด้วยแอปพลิเคชั่น mySolarEdge เจ้าของบ้านสามารถติดตามการทำงานของระบบโซลาร์เซลล์ และควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮมได้จากทุกที่

ยุคสูตรสำเร็จแบบเดียวไม่ได้ผลอีกต่อไป

ระบบพลังงานภายในบ้านกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ รูปแบบการใช้พลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป การใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น  ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ผันผวน และสภาพแวดล้อมของการกระจายพลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป กำลังส่งผลต่อวิธีการจัดการพลังงาน เมื่อระบบมีความซับซ้อนมากขึ้น เราต้องการซอฟต์แวร์อัจฉริยะที่คำนึงถึงความต้องการของเจ้าของบ้านเป็นหลัก พร้อมทั้งช่วยให้พวกเขาใช้ประโยชน์สูงสุดจากการผลิต, การใช้, และการกักเก็บพลังงาน

เพื่อเพิ่มความท้าทายให้กับสถานการณ์นี้ การรักษาสมดุลระหว่างปริมาณพลังงานที่ผลิตได้กับความต้องการใช้ไฟฟ้าในหลายพื้นที่  กลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้นสำหรับบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้า ยกตัวอย่างเช่น ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ปริมาณพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีอยู่อย่างมากมาย ก่อให้เกิดจุดพุ่งสูงของการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในแต่ละวัน ส่งผลกระทบต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าแบบเดิม ความท้าทายประการที่สองต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า คือความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเย็นเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งทำให้ผู้ควบคุมระบบโครงข่ายไฟฟ้ามีปัญหาในการรักษาสมดุลระหว่างปริมาณไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงเหล่านี้

เพื่อลดปัญหาดังกล่าว บริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าได้เริ่มนำเสนอแผนอัตราค่าไฟฟ้าแบบ Time-of-Use (TOU) และ Dynamic Rates ซึ่งโดยทั่วไปอัตราค่าไฟฟฟ้าจะมีราคาสูงกว่าในช่วงเวลาที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (เช่น ช่วงหัวค่ำ) และต่ำกว่าในช่วงนอกเวลาเร่งด่วน ข้อกำหนด NEM (Net Energy Metering) 3.0 ฉบับใหม่ รวมถึงแผน TOU ที่มีอัตราค่าไฟฟ้าเฉพาะเจาะจง ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาของวัน เดือน และปี และยังรวมถึงอัตราค่าไฟฟ้าส่งออกแบบแยกต่างหากเพื่อลดแรงจูงใจในการส่งออกพลังงานแสงอาทิตย์ไปยังระบบโครงข่ายไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ส่งออกไฟฟ้าสูงสุด

Solar 2.0

ยิ่งไปกว่านั้น การใช้ไฟฟ้าภายในบ้านกำลังเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากรูปแบบการบริโภคพลังงานกำลังเปลี่ยนแปลงไป จำนวนรถยนต์ไฟฟ้า ปั๊มความร้อน และผู้คนที่ทำงานจากบ้านที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาไฟฟ้าที่พุ่งสูงขึ้น และอัตราค่าไฟฟ้าตามช่วงเวลาการใช้งานที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งหมดนี้บ่งบอกว่าเราจำเป็นต้องคิดอย่างชาญฉลาดมากขึ้นเกี่ยวกับวิธีใช้พลังงานของเราอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ผู้บริโภคพลังงานจำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการจัดการพลังงานภายในบ้าน ซึ่งอาจเป็นความท้าทายที่ดูเหมือนซับซ้อนสำหรับผู้บริโภคจำนวนมาก

Solar 2.0

ทางออก: การทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เพื่อการตัดสินใจ

หากการปฏิวัติครั้งแรกของพลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้เทคโนโลยีนี้เข้าถึงผู้คนจำนวนมากขึ้นในสถานที่ต่าง ๆ ยุคต่อไปนี้จะเป็นการนำความต้องการด้านพลังงานของผู้ใช้แต่ละคนมาเป็นหัวใจสำคัญในการตัดสินใจทุกอย่างของเครื่องแปลงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์  ซึ่งสิ่งนี้สามารถทำได้ผ่านซอฟต์แวร์อัจฉริยะที่ใช้งานง่าย ด้วยการสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมต่อระบบพลังงานแสงอาทิตย์กับโครงข่ายไฟฟ้า เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า, ระบบทำความร้อน, และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอย่างราบรื่น ผู้ใช้จะมีประสบการณ์ที่ปรับแต่งได้เองตามความต้องการและสม่ำเสมอ ช่วยให้สามารถใช้พลังงานแสงอาทิตย์ให้เหมาะสมกับความต้องการมากที่สุด

เพื่อให้การพัฒนานี้ดำเนินต่อไป ซอฟต์แวร์บริหารจัดการพลังงาน จำเป็นต้องสามารถตัดสินใจโดยอัตโนมัติ หลายร้อยครั้งต่อวัน  โดยวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ เช่น ปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์, สภาพอากาศ, อัตราค่าไฟฟ้าในพื้นที่, การปรับราคาเพื่อประหยัด, การตอบสนองต่อความต้องการใช้ไฟฟ้า, พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของแต่ละครัวเรือน, และปัจจัยอื่น ๆ

แต่หัวใจสำคัญของแนวทางนี้คือการยึดผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง เจ้าของบ้านต้องการปรับการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์เพื่อ แสวงหาผลกำไร, ความสะดวกสบาย, หรือลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน

ลองนึกภาพว่าคุณอาศัยอยู่ในโลกที่แอปพลิเคชั่นระบบพลังงานแสงอาทิตย์ของคุณทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะด้านพลังงานส่วนบุคคล ไม่เพียงแค่แอปพลิเคชั่นนี้จะรู้โดยอัตโนมัติว่าจะนำพลังงานแสงอาทิตย์ไปใช้ที่ใดตามพฤติกรรมการใช้พลังงานของคุณเท่านั้น แต่ยังใช้ข้อมูลต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อตัดสินใจด้านพลังงานที่ดีที่สุดเพื่อประโยชน์ของครัวเรือนของคุณ ระบบจะประมาณปริมาณพลังงานที่ระบบโซลาร์เซลล์ของคุณจะผลิตและใช้ในแต่ละวัน โดยคำนึงถึงต้นทุนการนำเข้าและส่งออกไฟฟ้าไปยังระบบโครงข่ายไฟฟ้าในช่วงเวลาต่าง ๆ ของวันตามแผนอัตราค่าไฟฟ้าตามช่วงเวลาการใช้งาน (TOU) และอัตราค่าไฟฟ้าสุทธิแบบใหม่ (Net Metering) ที่มีอยู่

ตัวอย่างเช่น สมมติว่าตอนนี้คุณทำงานจากบ้านมากขึ้น ส่งผลให้ใบแจ้งค่าไฟฟ้าของคุณสูงขึ้นในช่วงฤดูร้อนนี้ เนื่องจากคุณใช้ไฟฟ้ามากขึ้นในระหว่างวันสำหรับเครื่องปรับอากาศและเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ระบบโซลาร์เซลล์ของคุณสามารถทราบโดยอัตโนมัติว่าจะนำพลังงานแสงอาทิตย์ไปใช้กับเครื่องปรับอากาศของคุณในช่วงเวลาที่อัตราค่าไฟฟ้าสูง หรือดึงไฟฟ้าจากระบบโครงข่ายไฟฟ้าและนำพลังงานแสงอาทิตย์ไปชาร์จแบตเตอรี่ในช่วงเวลาที่อัตราค่าไฟฟ้าต่ำกว่า หากพายุใหญ่กำลังจะมา ระบบสามารถชาร์จแบตเตอรี่สำรองไว้โดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันไฟฟ้าดับ แต่ระบบยังสามารถวิเคราะห์ได้อีกว่า ในบางช่วงเวลา คุณอาจประหยัดค่าไฟฟ้ามากกว่าโดยการส่งออกไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ไปยังระบบโครงข่ายไฟฟ้า

ลองนึกภาพว่าคุณขับรถยนต์ไฟฟ้าไปทำงานตอนเช้าและเสียบปลั๊กชาร์จเข้ากับที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าภายในโรงรถโซลาร์เซลล์ของสำนักงาน อาจเป็นไปได้ว่าอัตราค่าไฟฟ้าในช่วง 9 โมงเช้าค่อนข้างสูง ดังนั้นซอฟต์แวร์จะทราบโดยอัตโนมัติว่าควรชะลอการชาร์จรถยนต์ไว้จนถึงเที่ยง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อัตราค่าไฟฟ้าต่ำกว่า

ไม่เพียงแค่ฟังก์ชั่นพื้นฐานของระบบโซลาร์เซลล์แบบดั้งเดิม แต่ระบบนี้สามารถดึงศักยภาพสูงสุดจากการลงทุนของคุณโดยอิงตามวิถีชีวิตส่วนตัวของคุณและชุมชนที่คุณอาศัยอยู่ ขณะที่เรายังคงสร้างอนาคตของพลังงานแสงอาทิตย์อัจฉริยะ ซอฟต์แวร์ที่มุ่งเน้นลูกค้าจะเป็นตัวปฏิวัติพลังพลวัตระหว่างเรา, ระบบโครงข่ายไฟฟ้า, และพลังงานหมุนเวียน

บทความที่เกี่ยวข้อง