เทียบเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า DC และ AC ควรใช้แบบไหน ในเวลาใด

/
30-10-2025

รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญบนท้องถนนของประเทศไทย สังเกตได้จากกระแสของผู้บริโภคและยอดขายรถ EV ทั่วโลกที่เติบโตต่อเนื่อง เป็นเพราะรถยนต์ไฟฟ้ามีราคาเฉลี่ยต่ำลง แนวโน้มราคาแบตเตอรี่ลดลง ประกอบกับการรุกตลาดของแบรนด์ไฟฟ้ามากมาย โดยเฉพาะผู้ผลิตจากประเทศจีนที่ทำการขยายตลาดออกไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน[1]

เมื่อหลายคนหันมาสนใจรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น หนึ่งในปัจจัยที่ควรคำนึงถึงก็คงหนีไม่พ้น “เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า” หรือ ”EV Charger” ซึ่งปัจจุบันมีทั้งในแบบของสถานีชาร์จไฟฟ้าและเครื่องชาร์จที่ติดตั้งตามบ้าน ดังนั้น บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าชนิด DC และ AC ตั้งแต่หลักการทำงาน รูปแบบหัวชาร์จ การติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน ไปจนถึงสถานการณ์การเลือกใช้ประเภทเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะสม

เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า DC

EV Charger ระบบ DC คือ เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (Direct Current) โดยจะทำหน้าที่แปลงไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) จากโครงข่ายไฟฟ้าให้เป็นไฟฟ้ากระแสตรง (DC) จึงสามารถจ่ายไฟให้กับแบตเตอรี่ภายในรถยนต์ EV ได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านตัวแปลงไฟฟ้า (On-Board Charger) ดังนั้น เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า DC จึงสามารถจ่ายไฟกำลังที่สูงตั้งแต่ 50 kW ไปจนถึง 350 kW และอาจสูงขึ้นในอนาคต

ด้วยเหตุนี้เอง เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า DC จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Quick Charger ซึ่งชาร์จเร็ว ใช้เวลาเฉลี่ย 30-60 นาทีในการชาร์จจาก 0-80% ขึ้นอยู่กับรุ่นรถและกำลังของเครื่องชาร์จ

ประเภทหัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า DC

ประเภทหัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบ DC ที่นิยมใช้ในประเทศไทยในปัจจุบันนั้นมี 2 ประเภทหลัก ได้แก่ 

1. CHAdeMo - มาตรฐานการชาร์จแบบเร็วที่พัฒนาโดยกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของญี่ปุ่น ร่วมกับบริษัทด้านพลังงาน TEPCO ในปี 2005 โดยหัวชาร์จ CHAdeMO 2.0 ที่พัฒนาออกมาล่าสุด สามารถรองรับกำลังไฟได้สูงสุดถึง 400kW และยังมีแผนพัฒนาต่อยอดให้รองรับถึง 900 kW ในอนาคต
2. CCS (Combined Charging System) - มาตรฐานที่พัฒนาขึ้นจากความร่วมมือของผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปและอเมริกา โดยมีประเภทย่อย คือ CCS1 รองรับกำลังไฟสูงสุด 350 kW (ใช้ในตลาดอเมริกาเหนือ) และ CCS2 รองรับกำลังไฟฟ้าได้ตั้งแต่ 50-350 kW ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้ในยุโรปและประเทศไทย

นอกจาก 2 ประเภทข้างต้น ยังมีหัวชาร์จ GB/T ซึ่งเป็นมาตรฐานของประเทศจีน รถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อจีนบางรุ่นที่นำเข้ามาในช่วงแรกๆ อาจใช้หัวชาร์จนี้ แต่ปัจจุบันผู้ผลิตจีนที่ทำตลาดในไทยได้เปลี่ยนมาใช้หัวชาร์จ CCS2 ตามมาตรฐานของไทยแล้ว

หลักการทำงานของเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า DC

กระบวนการทำงานของ DC Charger มีขั้นตอนสำคัญดังนี้

1. การสื่อสารระหว่างรถและเครื่องชาร์จ: เมื่อเสียบหัวชาร์จเข้ากับรถยนต์ ระบบจัดการแบตเตอรี่ของรถ (Battery Management System - BMS) จะสื่อสารกับเครื่องชาร์จเพื่อตรวจสอบสถานะต่างๆ เช่น ระดับแบตเตอรี่ปัจจุบัน (SoC), อุณหภูมิของแบตเตอรี่ และความสามารถในการรองรับกำลังไฟสูงสุดของรถ
2. การปรับแรงดันและกระแสไฟ: เครื่องชาร์จ DC จะปรับแรงดัน (Voltage) และกระแส (Current) ให้เหมาะสมกับที่ BMS ของรถยนต์ระบุไว้ เพื่อให้การชาร์จเป็นไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัยที่สุด
3. การอัดประจุไฟฟ้า: เครื่องชาร์จจะส่งไฟฟ้ากระแสตรง (DC) เข้าไปยังแบตเตอรี่โดยตรง โดยความเร็วในการชาร์จจะสูงที่สุดในช่วงที่แบตเตอรี่มีความจุต่ำถึงปานกลาง (ประมาณ 10-80%)
4. การลดกำลังไฟในช่วงท้าย (Charging Curve): เมื่อระดับแบตเตอรี่ใกล้เต็ม (โดยทั่วไปคือเกิน 80%) BMS ของรถจะส่งสัญญาณให้เครื่องชาร์จลดกำลังไฟลง เพื่อป้องกันไม่ให้แบตเตอรี่มีความร้อนสูงเกินไป และถนอมสุขภาพของเซลล์แบตเตอรี่อีกด้วย เป็นเหตุว่าทำไมการชาร์จแบตเตอรี่จาก 80% ไปถึง 100% มักใช้เวลานานกว่าปกติ

เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า DC สามารถพบเห็นได้ในรูปแบบสถานีชาร์จสาธารณะ หรือตามสถานที่ต่างๆ เช่น สถานีปั๊มน้ำมัน อาคารสำนักงาน หรือห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นเครื่องชาร์จของผู้ให้บริการต่างๆ โดยข้อมูลจาก EVAT ในปี 2023 ระบุว่า ประเทศไทยมีจำนวนสถานีอัดประจุอยู่ที่ 2,658 แห่ง มีการกระจายตัวไปทั่วทุกพื้นที่ แต่มีการรวมตัวอย่างหนาแน่นในพื้นที่ภาคกลางหรือในเขตเมืองใหญ่[1] ทำให้การเข้าถึง EV Charger ระหว่างการเดินทางนั้นสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า AC

เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า AC นั้นชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current) ซึ่งเป็น EV Charger ที่ใช้กันทั่วไปตามบ้านเรือนและอาคารต่างๆ โดยจะจ่ายไฟให้กับรถยนต์ผ่าน On-Board Charger โดยเฉลี่ยสามารถจ่ายไฟได้ตั้งแต่ 3.7 -  7.4 kW (1 เฟส) ไปจนถึง 22 kW (3 เฟส) ซึ่งมีการปล่อยกระแสไฟออกมาไม่สูงมาก

ด้วยคุณสมบัติข้างต้น เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า AC จึงถูกเรียกว่า Normal Charger ซึ่งอาจใช้เวลาชาร์จเฉลี่ย 7-10 ชั่วโมงในการชาร์จจาก 0 - 100% ดังนั้นจึงเป็นเครื่องชาร์จที่เหมาะสำหรับใช้ชาร์จข้ามคืน หรือเมื่อต้องทำธุระในที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานาน

ประเภทหัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า AC

หัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า AC สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ

1. Type 1 (SAE J1772 - หัวชาร์จรองรับระบบไฟฟ้าแบบหนึ่งเฟส (Single-Phase) มักมีขาชาร์จ 5 ขา (Pin) โดยรองรับกระแสไฟฟ้า 32A/250V ซึ่งอาจพบได้ไม่บ่อยนัก เนื่องจากเป็นมาตรฐานหัวชาร์จที่พัฒนาขึ้นในอเมริกาเหนือ และใช้ในรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่ไม่ได้เป็นที่นิยมในประเทศไทย

2. Type 2 - หัวชาร์จแบบ 7 ขา (Pin) สามารถรองรับการชาร์จได้ทั้งระบบไฟฟ้าแบบหนึ่งเฟส (Single-Phase) และสามเฟส (Three-Phase) ซึ่งรองรับกำลังไฟสูงว่าประเภทแรก โดยอยู่ที่ 70A/250V ในระบบไฟหนึ่งเฟส และ 63A/480V ในระบบสามเฟส โดยเป็นประเภทหัวชาร์จ AC ที่พบได้บ่อย เนื่องจากเป็นมาตรฐานหัวชาร์จที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าจากทวีปยุโรปและประเทศอื่นๆ ในเอเชีย

หลักการทำงานของเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า AC

หัวใจสำคัญของการชาร์จแบบ AC อยู่ที่อุปกรณ์ที่เรียกว่า "On-Board Charger" ซึ่งเป็น "ตัวแปลงไฟ" ที่ติดตั้งภายในรถยนต์ EV ทุกคัน โดยมีหลักการทำงานเบื้องต้น ดังนี้

1. การจ่ายไฟฟ้า: เครื่องชาร์จ AC Charger (ไม่ว่าจะเป็นเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้านหรือตู้ชาร์จตามที่ต่างๆ) จะทำหน้าที่เป็น ”ตัวกลาง” ในการควบคุมและส่งผ่านไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ไปยังตัวรถอย่างปลอดภัย

2. การแปลงไฟภายในรถ: เมื่อรถได้รับกระแสไฟฟ้า AC แล้ว On-Board Charger จะทำหน้าที่สำคัญในการแปลงไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ให้เป็นไฟฟ้ากระแสตรง (DC)

3. การอัดประจุเข้าแบตเตอรี่: หลังจากแปลงเป็นไฟ DC แล้ว On-Board Charger จะส่งพลังงานไฟฟ้าไปยังแบตเตอรี่ของรถยนต์ต่อไป

ด้วยเหตุนี้ ความเร็วในการชาร์จแบบ AC จะถูกจำกัดโดยขนาดของ On-Board Charger ที่รถยนต์แต่ละรุ่นรองรับได้ ไม่ใช่ขนาดของเครื่องชาร์จภายนอกเพียงอย่างเดียว เช่น คุณใช้เครื่องชาร์จ AC สาธารณะที่จ่ายไฟได้ 22 kW แต่ถ้ารถของคุณมี On-Board Charger ขนาด 7.4 kW รถก็จะรับไฟได้สูงสุดเพียง 7.4 kW เท่านั้น

เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่มักนิยมติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน ในลักษณะของ Wallbox เพื่ออำนวยความสะดวกในการชาร์จข้ามคืน และลดต้นทุนด้านพลังงาน นอกจากนี้เครื่องชาร์จในลักษณะดังกล่าวยังมีขนาดกะทัดรัดและติดตั้งได้ง่ายทั้งแบบ 1 เฟส และ 3 เฟส อีกทั้งบริษัทผู้จำหน่ายรถยนต์มักจะมีโปรโมชันติดตั้ง Wallbox ฟรีหรือในราคาพิเศษ

ทั้งนี้ในปัจจุบัน โครงการคอนโดมิเนียม หมู่บ้านจัดสรร และโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ เริ่มมีการติดตั้ง AC Charger ในพื้นที่ส่วนกลางเพื่อเป็นจุดขายและอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกบ้าน รวมไปถึงสถานีชาร์จสาธารณะตามห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ โรงแรม และอาคารสำนักงาน ทั้งหมดล้วนหันมาติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้พื้นที่

เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 1 เฟสกับ 3 เฟส ต่างกันอย่างไร

สำหรับผู้ที่สนใจหรือกำลังวางแผนติดตั้งที่ชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน ในชนิด AC ในปัจจุบันสามารถเลือกติดตั้งได้ 2 รูปแบบหลักคือแบบ 1 เฟส และ 3 เฟส ซึ่งทั้งสองมีข้อแตกต่างสำคัญ 4 ประการหลักที่ควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ได้แก่

1. กำลังไฟ (kW) และความเร็วในการชาร์จ

ปริมาณกำลังไฟที่เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 1 เฟส และ 3 เฟสสามารถรองรับได้นั้นต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้

  • เครื่องชาร์จ 1 เฟส
    เรียกว่า Normal Charger สามารถรองรับกำลังไฟสูงสุดที่ 7.4 kW จึงมีความสามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ขนาดกลางจาก 0-100% ได้ในเวลาประมาณ 7-10 ชั่วโมง เหมาะสำหรับการชาร์จที่บ้านแบบข้ามคืน
  • เครื่องชาร์จ 3 เฟส
    มีอีกชื่อหนึ่งว่า Double Speed Charger สามารถรองรับกำลังไฟสูงสุด 22 kW ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ขนาดกลางจาก 0-100% ได้ในเวลาเพียง 3-4 ชั่วโมง เหมาะสำหรับสถานที่ที่ต้องการทำรอบการชาร์จเร็วขึ้น เช่น อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า โรงแรม

ทั้งนี้ ความเร็วในการชาร์จขึ้นอยู่กับ On-Board Charger ของรถยนต์เป็นหลัก หากรถยนต์ไฟฟ้ามี On-Board Charger ที่รับไฟได้แค่ 1 เฟส (สูงสุด 7.4 kW) แม้จะใช้งานเครื่องชาร์จ 3 เฟส (22 kW) รถก็จะรับไฟได้แค่ 7.4 kW อยู่ดี ดังนั้นจึงควรตรวจสอบสเปกรถยนต์ก่อนตัดสินใจ

2. การติดตั้งและมิเตอร์ไฟฟ้า

ในการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ควรเลือกประเภทที่ตรงกับชนิดมิเตอร์ไฟฟ้า

  • เครื่องชาร์จ 1 เฟส
    สามารถติดตั้งกับมิเตอร์ไฟฟ้า 1 เฟสได้ ซึ่งเป็นมิเตอร์มาตรฐานสำหรับบ้านส่วนใหญ่ในปัจจุบัน โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมิเตอร์แต่อย่างใด ทั้งนี้ควรตรวจสอบขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าว่าสามารถรองรับการการทำงานของ EV Charger ขนาด 1 เฟสได้หรือไม่ โดยแนะนำให้เป็นมิเตอร์ 1 เฟส ขนาด 30(100) A ขึ้นไป
  • เครื่องชาร์จ 3 เฟส
    สำหรับผู้ที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จชนิด 3 เฟส จำเป็นต้องใช้มิเตอร์ไฟฟ้า 3 เฟสด้วยเช่นกัน โดยแนะนำให้เป็นมิเตอร์ไฟฟ้า 3 เฟส ขนาด 15(45)A ขึ้นไป ทั้งนี้ หากมิเตอร์เดิมเป็นขนาด 1 เฟส ต้องดำเนินการ “ขอมิเตอร์ไฟฟ้าใหม่” จากการไฟฟ้านครหลวง (MEA) หรือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) โดยยื่นคำขอและเอกสารที่เกี่ยวข้อง พร้อมชำระค่าธรรมเนียมต่างๆ เพิ่มเติม จึงอาจมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดสูงกว่าการติดตั้งเครื่องชาร์จแบบ 1 เฟส

การติดตั้งที่ชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้านชนิด 1 เฟส ถือว่ารวดเร็วกว่าและสะดวกสบายกว่า แม้จะมีข้อกำจัดด้านกำลังไฟที่สามารถรองรับได้ก็ตาม ส่วนเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าชนิด 3 เฟส นั้นสามารถประหยัดเวลาในการชาร์จไฟฟ้าได้มากขึ้น แต่อาจแลกมาด้วยการลงทุนครั้งแรกที่สูงกว่า เนื่องจากต้องดำเนินการเปลี่ยนมิเตอร์กับการไฟฟ้าด้วยนั่นเอง

3. ราคาและค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง

ค่าใช้จ่ายและต้นทุนในการติดตั้งเครื่อง EV Charger เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของเจ้าของรถหลายคน อย่างที่กล่าวไปข้างต้น การติดตั้งเครื่องชาร์จ 1 เฟสมีราคาที่ถูกกว่า ทั้งในส่วนของค่าติดตั้งและค่าอุปกรณ์ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการจำกัดงบประมาณ หรือมีไลฟ์สไตล์ที่สามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าข้ามคืนได้อยู่แล้ว

ส่วนเครื่องชาร์จ 3 เฟสมีราคาที่สูงกว่า เนื่องจากตัวเครื่องนั้นมีราคาสูงเป็นทุนเดิม ประกอบกับการขอเปลี่ยนมิเตอร์ไฟฟ้าจาก 1 เฟส เป็น 3 เฟส จึงมักส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ตามมา ทำให้ต้นทุนรวมสูงขึ้น ทั้งนี้ เครื่องชาร์จ 3 เฟสมอบความสะดวกสบายที่มากขึ้น ลดระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ ตอบโจทย์ผู้ที่ไม่ต้องการชาร์จรถยนต์ไว้เป็นเวลานานๆ หรืออาจต้องออกเดินทางไป-กลับบ่อยๆ

4. ความเหมาะสมในการใช้งาน

เครื่องชาร์จ 1 เฟส  (7.4 kW) เหมาะสำหรับ บ้านพักอาศัยทั่วไป เนื่องจากเป็นตัวเลือกที่สมดุลและเพียงพอสำหรับการชาร์จที่บ้าน เพราะระยะเวลา 7-10 ชั่วโมงสอดคล้องกับพฤติกรรมพักผ่อนข้ามคืนของผู้คนส่วนใหญ่อยู่แล้ว นอกจากนี้ การติดตั้งเครื่องชาร์จ 3 เฟสอาจเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า หากใช้รถยนต์รับไฟฟ้าที่มี On-Board Charger ที่รองรับไฟได้สูงสุดแค่ 1 เฟส เพราะรถไม่สามารถดึงประสิทธิภาพสูงสุดของเครื่องชาร์จมาใช้ได้ อีกทั้งยังเป็นทางเลือกที่ประหยัดกว่าทั้งค่าเครื่องและค่าติดตั้ง

เครื่องชาร์จ 3 เฟส  (22 kW) เหมาะกับผู้ที่มีรถยนต์รองรับการชาร์จ 3 เฟส หรือติดตั้งมิเตอร์ 3 เฟสเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และยังตอบโจทย์ผู้ที่มีรถยนต์ไฟฟ้าหลายคันและต้องการสลับกันชาร์จ เนื่องจากการชาร์จที่รวดเร็วขึ้นสามารถช่วยให้บริหารจัดการการชาร์จและใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายกว่า สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาฯ เครื่องชาร์จ 3 เฟสยังเหมาะสำหรับสำนักงาน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า หรือสถานที่กึ่งสาธารณะที่ต้องการให้บริการชาร์จแก่ลูกค้าและหมุนเวียนรถได้เร็วขึ้น

ควรเลือกใช้เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า AC หรือ DC ในสถานการณ์ไหน?

ระหว่างเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า AC ที่บ้าน หรือเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า DC ตามสถานีบริการ ควรเลือกชาร์จแบบไหนดีกว่ากัน? คำตอบที่เหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้สามารถจำเป็นวลีง่ายๆ ว่า “ถ้ามีเวลานานใช้ AC” แต่ “ถ้ารีบเดินทางใช้ DC”

เวลาที่ควรใช้เครื่องชาร์จ AC

แนะนำให้ใช้เมื่อมีเวลาจอดรถทิ้งไว้นานๆ ตั้งแต่ 2-3 ชั่วโมงขึ้นไป โดยไม่รีบร้อน เป็นการชาร์จช้าๆ แต่ถนอมแบตเตอรี่ เช่น 

  • ชาร์จข้ามคืนที่บ้าน - ตื่นเช้ามาแบตเตอรี่เต็ม 100% พร้อมใช้งาน เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด ประหยัดค่าใช้จ่ายที่สุด (คิดตามค่าไฟบ้าน) และดีต่อสุขภาพแบตเตอรี่ในระยะยาวที่สุด
  • ชาร์จระหว่างทำงานที่ออฟฟิศ - โดยเฉพาะเมื่อจอดรถทิ้งไว้ 8-9 ชั่วโมงระหว่างที่ทำงาน เป็นการใช้เวลาที่รถจอดนิ่งอยู่แล้วให้เป็นประโยชน์ เมื่อเลิกงานก็ได้รถที่มีแบตเตอรี่เต็มกลับบ้าน
  • ชาร์จรถไฟฟ้า ณ จุดหมายปลายทาง - เมื่อไปทำกิจกรรมที่ใช้เวลานาน อย่างการเดินห้าง พักผ่อนในโรงแรม หรือจอดรถที่ร้านอาหารที่มีบริการสถานีชาร์จ เพื่อเป็นการเติมแบตเตอรี่บางส่วน แม้จะไม่ได้ชาร์จจนเต็ม แต่ก็ได้ระยะทางเพิ่มขึ้นมาอย่างเพียงพอเพื่อเดินทางต่อ
     

เวลาที่ควรใช้เครื่องชาร์จ DC 

การชาร์จแบบ DC เหมาะสำหรับการเติมแบตเตอรี่อย่างรวดเร็วเพื่อเดินทางต่อ หรือในกรณีที่มีเวลาจำกัด เช่น

  • ชาร์จเมื่อเดินทางไกลข้ามจังหวัด - เมื่อใช้เวลาพักทานข้าวหรือเข้าห้องน้ำไม่นาน ก็สามารถชาร์จไฟให้รถวิ่งต่อไปได้อีก 200-300 กิโลเมตร ทำให้การเดินทางไม่สะดุด
  • ชาร์จเมื่อต้องการความเร็วในสถานการณ์เร่งด่วน - เช่นคุณลืมชาร์จไฟที่บ้าน แต่มีความจำเป็นต้องใช้รถเดินทางไกลกะทันหัน หรือแบตเตอรี่ใกล้หมดระหว่างวัน สามารถแวะสถานีชาร์จ DC ซึ่งอาจใช้เวลา 15-20 นาที เพื่อเติมไฟให้ได้ระยะทางที่เพียงพอสำหรับทำธุระต่อไปได้
  • ไม่มีที่ชาร์จที่บ้านหรือคอนโด - ผู้ที่ไม่ได้ติดตั้งเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ที่บ้านอาจต้องวางแผนแวะชาร์จ DC สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง คล้ายกับการ "เติมน้ำมัน" คือใช้รถจนแบตเตอรี่เหลือน้อย แล้วแวะชาร์จแบตเตอรี่ตามจุดให้บริการที่ใกล้ที่สุด ทั้งนี้ ควรคำนึงถึงสุขภาพแบตเตอรี่ในระยะยาว เนื่องจากการชาร์จแบบ DC นั้นจะสร้างความร้อนสูง ซึ่งส่งผลต่อแบตเตอรี่

โดยสรุปแล้ว การเลือกใช้เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นแบบ DC หรือ AC นั้นขึ้นอยู่กับความต้องการและสถานการณ์ของผู้ใช้งานเป็นหลัก หากต้องการความสะดวกสบาย ประหยัดค่าใช้จ่าย และถนอมสุขภาพแบตเตอรี่ในระยะยาว การชาร์จด้วย AC Charger ที่บ้านหรือที่ทำงานถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ส่วน DC Charger ตามสถานีบริการสาธารณะนั้นเหมาะสำหรับสถานการณ์ที่ต้องการความรวดเร็ว เช่น การเดินทางไกลข้ามจังหวัดหรือกรณีฉุกเฉินที่ไม่มีเวลารอชาร์จนาน การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง EV Charger ทั้งสองประเภทนี้จะช่วยให้เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าสามารถวางแผนการใช้งานและชาร์จแบตเตอรี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ราบรื่นและไร้กังวลตลอดการเดินทาง

พบกับ SolarEdge EV Charger โซลูชันเครื่องชาร์จอัจฉริยะ เร็วๆ นี้ในประเทศไทย

เตรียมพบกับ SolarEdge EV Charger เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะที่กำลังจะเปิดตัวในประเทศไทยเร็วๆ นี้ หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงในต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา ออกแบบมาให้ใช้งานร่วมกับระบบโซล่าเซลล์ได้อย่างไร้รอยต่อ ช่วยให้สามารถชาร์จรถยนต์ด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ที่ผลิตเองที่บ้าน ช่วยประหยัดค่าไฟและลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากกริดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยผลิตภัณฑ์ SolarEdge EV Charger มีด้วยกัน 2 รูปแบบ ได้แก่

1. SolarEdge EV Charger (สำหรับบ้าน)

เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานในบ้านพักอาศัย โดยสามารถผสานรวมเข้ากับระบบนิเวศน์พลังงานอัจฉริยะของ SolarEdge Home เช่น โซล่ารูฟ แบตเตอรี่โซล่าเซลล์ และผู้ที่ติดโซล่าร์เซลล์บ้าน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้พลังงานแสงอาทิตย์

SolarEdge EV Charger มาพร้อมดีไซน์โมเดิร์นและเรียบง่าย เข้ากับบ้านได้หลากหลายสไตล์ มีความแข็งแรงทนทาน ติดตั้งง่ายและรวดเร็ว สามารถใช้งานได้ทั้งในร่มและพื้นที่กลางแจ้ง เจ้าของบ้านสามารถตรวจสอบสถานะการทำงานและควบคุมได้ง่ายผ่านแอป mySolarEdge บนสมาร์ทโฟน

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก

2. SolarEdge ONE EV Charger (สำหรับธุรกิจ)

เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะที่ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การชาร์จที่เหมาะสมที่สุดทั้งสำหรับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น โรงงาน อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า หรืออื่นๆ โดยมีการผสานรวมเข้ากับระบบโซล่าเซลล์ออนกริด และอุปกรณ์ต่างๆ ของ SolarEdge ได้อย่างราบรื่น

SolarEdge ONE EV Charger ช่วยให้ธุรกิจสามารถ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูงสุด ด้วยคุณสมบัติ Load Balancing อัจฉริยะ เพื่อลดต้นทุนค่าพลังงานและป้องกันกระแสไฟเกินบนโครงสร้างพื้นฐานเดิม นอกจากนี้ยังสนับสนุนการจัดการยานพาหนะ (Fleet Management) ขั้นสูงผ่านการตั้งเวลาชาร์จ การออกบิล และการให้ข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถควบคุมต้นทุน บริหารจัดการพลังงาน และดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก

เกี่ยวกับ SolarEdge Technologies

SolarEdge Technologies เป็นผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน โดยใช้วิศวกรรมและนวัตกรรมระดับโลกในการพัฒนาโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับกลุ่มลูกค้าในภาคที่อยู่อาศัย ภาคพาณิชย์ และภาคสาธารณูปโภค SolarEdge นำเสนอโซลูชันที่ปรับให้เหมาะสมสำหรับการผลิต การจัดเก็บ การจัดการ และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทพัฒนาและผลิตอินเวอร์เตอร์โซล่าเซลล์ Power Optimizer ระบบจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน ระบบจัดเก็บพลังงาน และบริการโครงข่ายไฟฟ้า

เทคโนโลยี DC-Optimized ของ SolarEdge ถูกติดตั้งในบ้านหลายล้านหลังในกว่า 140 ประเทศ และมากกว่า 50% ของบริษัท Fortune 100 มีการใช้งานเทคโนโลยีของ SolarEdge บนหลังคาของพวกเขา SolarEdge มีบทบาทสำคัญในการเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่โครงข่ายพลังงานแบบกระจายที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ บริษัทยังมีบริการหลังการขายที่ครอบคลุม เพื่อตอบสนองความต้องการของทั้งเจ้าของบ้านและภาคธุรกิจ และเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ให้การรับประกันที่ยาวนานที่สุดในตลาดอีกด้วย

ติดต่อเรา 

กรอกแบบฟอร์ม คลิก
LINE Official: SolarEdge Thailand

ติดตามข่าวสารใหม่ๆ จาก SolarEdge
Facebook: SolarEdge Technologies Inc.
Instagram: @solaredgepv
X: @SolarEdgePV 
LinkedIn: SolarEdge Technologies

บทความที่เกี่ยวข้อง